การวิจัยในชั้นเรียน
การวิจัยในชั้นเรียน
การใช้นิทานคุณธรรม
(สื่อมัลติมีเดีย) เป็นสื่อในการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการพัฒนาทักษะในด้านการเขียน แสดงความคิดเห็นด้านคุณธรรม
จริยธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
จากการสอนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
(หน่วยที่ 4 การปฏิบัติตนเป็นคนดี)
ชั้น ป.3 ด้านทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า
เมื่อครูกำหนดหัวข้อให้นักเรียนเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณธรรมต่างๆ
นักเรียนมักจะไม่สามารถคิดแสดงความคิดเห็นที่เขียนได้มากพอ
ไม่อ่านในหนังสือเพิ่มเขียน มักจะติดขัด วกวนและหลายคน เขียนเป็นข้อๆ สั้นๆ ไม่ต่อเนื่อง
สิ่งที่เป็นความคิดไม่ตรงกับรูปภาพไม่สื่อถึงความมีคุณธรรม ผู้สอนจึงเกิดแนวคิดที่ว่า ถ้าลองนำภาพที่เกี่ยวกับนิทานคุณธรรม
(สื่อมัลติมีเดีย) ที่ตรงกับเรื่องราวที่กำหนดให้นักเรียนเขียน
มาเป็นตัวนำให้เกิดความเข้าใจ ความคิดในการเขียนแสดงความคิดเห็นเพราะการดูผ่านนิทานสื่อมัลติมิเดียใช้กับนักเรียนช่วงชั้นที่
1 จะช่วยให้การเขียนแสดงความคิดเห็นของนักเรียนมีความลื่นไหล
เข้าใจด้านคุณธรรม จริยธรรม และมีแนวทางการเขียนมากขึ้น และอาจจะช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนในการเขียนได้ดีกว่า
การอ่านการดูภาพประกอบหรือคำบอกเล่าเรื่องของครูอย่างเดียว
จุดประสงค์
เพื่อพัฒนาทักษะในด้านการเขียนแสดงความคิดเห็น
ของนักเรียน
ประชากร/กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
3/6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนวัดอ้อมน้อย (มิตรครูราษฏร์รังสรรค์) ตำบลอ้อมน้อย
อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 30 คน
นวัติกรรม/เครื่องมือ 1. ใช้แผนการสอน
(สังคมฯหน่วยที่ 4) ที่ได้ออกแบบไว้ดำเนินการสอนกับกลุ่มตัวอย่าง
2. แบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น โดยมีนิทานสื่อมัลติมิเดียเป็นสื่อ
วิธีดำเนินการ
2. แบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น โดยมีนิทานสื่อมัลติมิเดียเป็นสื่อ
วิธีดำเนินการ
1. ทดสอบก่อนเรียนโดยให้นักเรียนเขียนแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ครูกำหนดให้
ความยาวไม่ต่ำกว่า 5 บรรทัด
2. ตรวจผลงานนักเรียน บันทึกคะแนน โดยแบ่งคะแนนเป็น
- การแสดงความคิดเห็น และการยกเห็นผลประกอบ
- การใช้ภาษาไทยในการเขียน
- ความยาวตามที่กำหนด
3. บันทึกคะแนน
4. สอนให้ผู้เรียนเขียนแสดงความคิดเห็นจากภาพที่ครูกำหนดให้
5. ตรวจผลงาน โดยใช้เกณฑ์เดียวกับการตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
6. บันทึกคะแนน
7. เปรียบเทียบคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด
8. สรุปผลการวิจัย
ผลการวิจัยการเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ใช้แผนการสอนและใบงานการเขียนแสดงความคิดที่ได้ออกแบบไว้ดำเนินการสอนกับกลุ่มตัวอย่าง
พิจารณาจากคะแนนแบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น คะแนนเต็ม 10 คะแนน นำคะแนนของนักเรียนทุกคนมาจัดเป็นระดับความสามารถ โดยมีเกณฑ์ 3 ระดับ ทำก่อนและหลังดังนี้
ระดับ 1 นักเรียนได้คะแนนระหว่าง 5–6 คะแนน
ระดับ 2 นักเรียนได้คะแนนระหว่าง 7–8 คะแนน
ระดับ 3 นักเรียนได้คะแนนระหว่าง 9– 10 คะแนน
2. บันทึกผลการสอน ความคิดเห็น และความสามารถในการแก้ปัญหาลงในแบบบันทึกข้อมูลทั้งก่อนและหลัง
3. นำผลจากการสอนมาวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. ผู้วิจัยเก็บข้อมูลเพื่อ ตอบสนองวัตถุประสงค์การวิจัยในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ การเลือกใช้ข้อมูลแบบปฐมภูมิ ผู้วิจัยจะสามารถเลือกเก็บข้อมูลได้ตรงตามความต้องการและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เพื่อนำวิเคราะห์ค่าทางสถิติ
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความก้าวหน้าทางการเรียนรู้
แสดงค่าเฉลี่ยร้อยละความก้าวหน้าของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน
2. ตรวจผลงานนักเรียน บันทึกคะแนน โดยแบ่งคะแนนเป็น
- การแสดงความคิดเห็น และการยกเห็นผลประกอบ
- การใช้ภาษาไทยในการเขียน
- ความยาวตามที่กำหนด
3. บันทึกคะแนน
4. สอนให้ผู้เรียนเขียนแสดงความคิดเห็นจากภาพที่ครูกำหนดให้
5. ตรวจผลงาน โดยใช้เกณฑ์เดียวกับการตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน
6. บันทึกคะแนน
7. เปรียบเทียบคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด
8. สรุปผลการวิจัย
ผลการวิจัยการเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ใช้แผนการสอนและใบงานการเขียนแสดงความคิดที่ได้ออกแบบไว้ดำเนินการสอนกับกลุ่มตัวอย่าง
พิจารณาจากคะแนนแบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น คะแนนเต็ม 10 คะแนน นำคะแนนของนักเรียนทุกคนมาจัดเป็นระดับความสามารถ โดยมีเกณฑ์ 3 ระดับ ทำก่อนและหลังดังนี้
ระดับ 1 นักเรียนได้คะแนนระหว่าง 5–6 คะแนน
ระดับ 2 นักเรียนได้คะแนนระหว่าง 7–8 คะแนน
ระดับ 3 นักเรียนได้คะแนนระหว่าง 9– 10 คะแนน
2. บันทึกผลการสอน ความคิดเห็น และความสามารถในการแก้ปัญหาลงในแบบบันทึกข้อมูลทั้งก่อนและหลัง
3. นำผลจากการสอนมาวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. ผู้วิจัยเก็บข้อมูลเพื่อ ตอบสนองวัตถุประสงค์การวิจัยในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ การเลือกใช้ข้อมูลแบบปฐมภูมิ ผู้วิจัยจะสามารถเลือกเก็บข้อมูลได้ตรงตามความต้องการและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เพื่อนำวิเคราะห์ค่าทางสถิติ
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความก้าวหน้าทางการเรียนรู้
แสดงค่าเฉลี่ยร้อยละความก้าวหน้าของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
3/6 จำนวน 30 คน
เลขที่
|
ก่อนเรียน ( 10
)
|
หลังเรียน ( 10
)
|
1
|
7
|
9
|
2
|
5
|
7
|
3
|
6
|
8
|
4
|
6
|
8
|
5
|
6
|
8
|
6
|
5
|
7
|
7
|
6
|
8
|
8
|
6
|
8
|
9
|
6
|
8
|
10
|
7
|
9
|
11
|
7
|
9
|
12
|
6
|
8
|
13
|
6
|
8
|
14
|
6
|
9
|
15
|
6
|
8
|
16
|
6
|
8
|
17
|
5
|
8
|
18
|
6
|
8
|
19
|
6
|
8
|
20
|
5
|
7
|
21
|
6
|
9
|
22
|
6
|
8
|
23
|
6
|
9
|
24
|
7
|
9
|
25
|
6
|
8
|
26
|
6
|
8
|
27
|
6
|
9
|
28
|
6
|
8
|
29
|
6
|
8
|
30
|
6
|
9
|
รวม
|
180
|
246
|
2. จากตารางพบว่า
คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมากกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน และความก้าวหน้าทางการเรียนรู้
ร้อยละ 21.33 แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ใช้ทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นสูงขึ้นจากเดิม
ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนแสดงความคิดเห็นโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น ดังนี้
ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนแสดงความคิดเห็นโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น ดังนี้
เลขที่
|
ก่อนเรียน ( 10
)
300
|
หลังเรียน ( 10
)
300
|
คะแนนที่เพิ่ม
|
1
|
7
|
9
|
2
|
2
|
5
|
7
|
2
|
3
|
6
|
8
|
2
|
4
|
6
|
8
|
2
|
5
|
6
|
8
|
2
|
6
|
5
|
7
|
2
|
7
|
6
|
8
|
2
|
8
|
6
|
8
|
2
|
9
|
6
|
8
|
2
|
10
|
7
|
9
|
2
|
11
|
7
|
9
|
2
|
12
|
6
|
8
|
2
|
13
|
6
|
8
|
2
|
14
|
6
|
9
|
3
|
15
|
6
|
8
|
2
|
16
|
6
|
8
|
2
|
17
|
5
|
8
|
2
|
18
|
6
|
8
|
2
|
19
|
6
|
8
|
2
|
20
|
5
|
7
|
2
|
21
|
6
|
9
|
3
|
22
|
6
|
8
|
2
|
23
|
6
|
9
|
2
|
24
|
7
|
9
|
2
|
25
|
6
|
8
|
2
|
26
|
6
|
8
|
2
|
27
|
6
|
9
|
3
|
28
|
6
|
8
|
2
|
29
|
6
|
8
|
2
|
30
|
6
|
9
|
3
|
รวม
|
180
|
246
|
66
|
ร้อยละ
|
60
|
82
|
22
|
เฉลี่ย
|
6.00
|
8.20
|
2.2
|
เฉลี่ยร้อยละ
|
28.13
|
38.44
|
10.31
|
การทดสอบ คะแนนเต็ม ค่าเฉลี่ย ร้อยละความก้าวหน้า
ทดสอบก่อนเรียน 10 6.00 (2.2) 22
ทดสอบหลังเรียน 10 8.20
ทดสอบก่อนเรียน 10 6.00 (2.2) 22
ทดสอบหลังเรียน 10 8.20
จากตารางการเปรียบเทียบผลคะแนนแบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่า
ค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียนเท่ากับ 6.00 คิดเป็นร้อยละ 28.13 และค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนเท่ากับ 8.20 คิดเป็นร้อยละ 38.44 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียน เท่ากับ 2.2 คิดเป็นร้อยละ
10.31 ค่าร้อยละความก้าวหน้า เท่ากับ 22.00
ผลการวิจัย
1. หลังจากที่นักเรียนทำแบบฝึกทักษะการเขียนโดยมีนิทานสื่อมัลติมิเดียเป็นสื่อนักเรียนมีพัฒนาการการเขียนแสดงความคิดเห็นดีขึ้นมีความรู้ ความคิดที่จะนำมาเขียน สามารถเขียนด้วยความคิดของตนเอง จะช่วยให้การเขียนแสดงความคิดเห็นของนักเรียนมีความลื่นไหล เข้าใจด้านคุณธรรม จริยธรรม และมีแนวทางการเขียนมากขึ้น และอาจจะช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนในการเขียนได้ดี เขียนได้ไม่ต่ำกว่า 5 บรรทัด เขียนแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลใช้ภาษาในการเขียนสละสลวยดีต่อเนื่อง ถ่ายทอดความคิดเห็นออกมาตรงเรื่องราว พัฒนาทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นดีขึ้นมาก
2. คะแนนความสามารถในการเขียนแสดงความคิดเห็นหลังการฝึกสูงกว่าก่อนการฝึก
3. นักเรียนที่มีความบกพร่องในการเขียนแสดงความคิดเห็นมีพัฒนาการคิดที่ดีขึ้น
การสะท้อนความคิดในการวิจัย
1. ครูควรศึกษาความสนใจของนักเรียนและเลือกใช้นิทานสื่อมัลติมิเดียมาเป็นสื่อหรือสื่ออื่นๆที่มีความชัดเจนและสอดคล้องกระต้นการเรียนรู้ตรงกับความสนใจของนักเรียน เพื่อนำมาพัฒนาการเขียนแสดงความคิดเห็นให้เหมาะสมกับนักเรียน
2. ครูควรฝึกฝนให้นักเรียนรู้จักใช้คำ กลุ่มคำ และประโยคที่จะสื่อความหมายได้ตรงตามความคิด และความต้องการอย่างถูกต้อง และการคิดวิเคราะห์สิ่งที่ได้จากการฟังนิทาน
3. ครูอาจนำสื่อมาใช้สำหรับหัวข้ออื่นๆ ได้อีกตามต้องการที่จะพัฒนาการเขียนแสดงความคิดเห็นของนักเรียน
1. หลังจากที่นักเรียนทำแบบฝึกทักษะการเขียนโดยมีนิทานสื่อมัลติมิเดียเป็นสื่อนักเรียนมีพัฒนาการการเขียนแสดงความคิดเห็นดีขึ้นมีความรู้ ความคิดที่จะนำมาเขียน สามารถเขียนด้วยความคิดของตนเอง จะช่วยให้การเขียนแสดงความคิดเห็นของนักเรียนมีความลื่นไหล เข้าใจด้านคุณธรรม จริยธรรม และมีแนวทางการเขียนมากขึ้น และอาจจะช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนในการเขียนได้ดี เขียนได้ไม่ต่ำกว่า 5 บรรทัด เขียนแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลใช้ภาษาในการเขียนสละสลวยดีต่อเนื่อง ถ่ายทอดความคิดเห็นออกมาตรงเรื่องราว พัฒนาทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นดีขึ้นมาก
2. คะแนนความสามารถในการเขียนแสดงความคิดเห็นหลังการฝึกสูงกว่าก่อนการฝึก
3. นักเรียนที่มีความบกพร่องในการเขียนแสดงความคิดเห็นมีพัฒนาการคิดที่ดีขึ้น
การสะท้อนความคิดในการวิจัย
1. ครูควรศึกษาความสนใจของนักเรียนและเลือกใช้นิทานสื่อมัลติมิเดียมาเป็นสื่อหรือสื่ออื่นๆที่มีความชัดเจนและสอดคล้องกระต้นการเรียนรู้ตรงกับความสนใจของนักเรียน เพื่อนำมาพัฒนาการเขียนแสดงความคิดเห็นให้เหมาะสมกับนักเรียน
2. ครูควรฝึกฝนให้นักเรียนรู้จักใช้คำ กลุ่มคำ และประโยคที่จะสื่อความหมายได้ตรงตามความคิด และความต้องการอย่างถูกต้อง และการคิดวิเคราะห์สิ่งที่ได้จากการฟังนิทาน
3. ครูอาจนำสื่อมาใช้สำหรับหัวข้ออื่นๆ ได้อีกตามต้องการที่จะพัฒนาการเขียนแสดงความคิดเห็นของนักเรียน
4. ครูต้องช่วยสรุปเรื่องราวในนิทานโดยเน้นปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม
นักเรียนจะได้มีเจตคติที่ดีในการใช้สื่อและการเขียนแสดงความคิดเห็น
ผู้วิจัย นางสาวอุษณีย์ นพคุณ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนา และวัฒนธรรม ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า การใช้นิทานสื่อมัลติมิเดียประกอบการเขียนสามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียน
และช่วยให้การเขียนของนักเรียนลื่นไหลไหล เข้าใจด้านคุณธรรม จริยธรรม
และมีแนวทางการเขียนมากขึ้น
และอาจจะช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนในการเขียนได้ดีกว่า
การวิจัยมีวัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาทักษะในด้านการเขียนแสดงความคิดเห็น ของนักเรียน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561
โรงเรียนวัดอ้อมน้อย
(มิตรครูราษฏร์รังสรรค์ จำนวน 30 คน
ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
3/6 ได้ดังนี้
จากการตรวจแบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น ได้ผลดังนี้การเขียนแสดงความคิดเห็นก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียนเท่ากับ 6.00 คิดเป็นร้อยละ 28.13 และค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนเท่ากับ 8.20 คิดเป็นร้อยละ 38.87 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 2.2 คิดเป็นร้อยละ 10.31 ค่าร้อยละความก้าวหน้า เท่ากับ 22.00
จากการเปรียบเทียบคะแนนคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมากกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน และความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ ร้อยละ 22.00 แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ใช้แบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นสูงขึ้นจากเดิมแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้ที่ดีขึ้น
จากการตรวจแบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น ได้ผลดังนี้การเขียนแสดงความคิดเห็นก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียนเท่ากับ 6.00 คิดเป็นร้อยละ 28.13 และค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนเท่ากับ 8.20 คิดเป็นร้อยละ 38.87 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 2.2 คิดเป็นร้อยละ 10.31 ค่าร้อยละความก้าวหน้า เท่ากับ 22.00
จากการเปรียบเทียบคะแนนคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมากกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน และความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ ร้อยละ 22.00 แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ใช้แบบฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นสูงขึ้นจากเดิมแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้ที่ดีขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น